คงไม่ต้องมานั่งปิดบังกันนะครับว่า Blogger นั้นก็เป็นเครื่องมือหนึ่งทางการตลาดที่สำคัญเครื่องมือหนึ่ง และ Blogger นั้นก็รับเงินเพื่อพูดถึงสินค้า หลายแบรนด์ก็ต่างเอาใจบรรดา Blogger กันต่างๆ นาๆ เพื่อเอาอกเอาใจรักษาความสัมพันธ์ที่ดีเผื่อผลประโยชน์ และความสะดวกในการทำงานในอนาคต ทำให้เหล่า Blogger แม้แต่เพจชื่อดัง Instagram ยอด Follow สูงๆ ต่างก็ถูกว่าจ้างเพื่อพูดถึงสินค้า
แต่ในความคุ้มค่าและความแตกต่างอยากให้ลองอ่าน Blog นี้ก่อนนะครับ “แยกความต่าง Blogger, Influencer และ Celeb Net Idol ใครตอบโจทย์”
เพราะลูกค้าชอบซื้อตามรีวิวและหาข้อมูลในการตัดสินใจซื้อ น้ำหนักของการตัดสินใจซื้อเลยมาตกกับเหล่า Blogger ที่เป็น Influencer เพราะคนกลุ่มนี้มีน้ำหนักอย่างมากที่ชี้นำการตัดสินใจของ Proconsumer จะตัดสินใจอย่างไร ก็มักดูตามรีวิว ทำให้เนื้อหาจำพวกรีวิวยังเป็นที่ต้องการของคนไทย เพราะถ้านับแหล่ง Source ของการค้นหาแล้ว Content Review มีจำนวนไม่มากนัก หลายๆ กลุ่มสินค้าเข้าขั้นขาดแคลนอย่างเช่น กลุ่มรถ กลุ่มบ้าน กลุ่มสินค้าแม่และเด็ก กลุ่มกล้อง กลุ่มสุขภาพ กลุ่มนักออกแบบ ในบ้านเรา Influencer คนที่พอจะมีชื่อเสียงก็เขียนหลายกลุ่มซึ่งตามความเหมาะสมก็ไม่ค่อยจะเหมาะเท่าไหร่นัก ก็ต้องทำใจกันไป ด้วยตัวเลือกจำกัดในการเลือกใช้ คนเขียนดีไม่ค่อยมีคนอ่าน คนเขียนที่ดังแล้วไม่ค่อยตอบโจทย์ เรื่องปวดหัวแต่ถ้าต้องจ้างลองมาดู 5 มุมนี้ที่ต้องคิดก่อนเลือกใช้ Blogger Influencer กันครับ
ช่วยสนับสนุนในเชิง SEO มากน้อยขนาดไหน
ประโยชน์ทางอ้อมของการใช้ Blogger Influencer คือ การส่งเสริมในเชิง SEO การให้บทความที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์นั้นลิ้งกลับไปยัง เว็บไซต์หลักของเจ้าของสินค้า นั่นเป็นโอกาสที่ดีที่จะช่วยให้ค่าคุณภาพของเว็บไซต์ของแบรนด์นั้นดียิ่งขึ้นการทำให้เว็บติดอันอับสูงๆ ได้ไม่ยาก หลายครั้งที่มีการลิส เอเจนซี่ว่าต้องการ Blogger นอกจากการกำหนดความเหมาะสมของ Blogger แล้วยังมีการดูค่า MOZ (SEO Performance Indicator) ว่าเว็บไซต์ของ Blogger คนนั้นต้องมีค่า DA (Domain Authority) และค่า PA (Page Authority) ค่า Spam Score เท่าไหร่ ลงรายละเอียดขนาดไปถึงว่า แต่ละ Blog ที่เขียนนั้นนับคำแล้วขั้นต่ำต้องเฉลี่ยอยู่ที่เท่าไหร่กันเชียว ขอไม่บอกค่ามาตรฐานที่กำหนด Spec โดยพื้นฐานมานะครับ ส่วน PR (Pagerank) เลิกดูได้เลยครับสมัยนี้ไม่นิยม และไม่สำคัญเท่าไหร่แล้วเพราะฉะนั้นสำหรับแบรนด์มองในมุมนี้ไว้เผื่อเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน และ Blogger ก็ต้องพัฒนาเนื้อหาไปพร้อมๆ กับการพัฒนาคุณภาพของเว็บไปคู่กันจะดีกว่า
อย่าดูถูก Blog Free และก็ไม่ดูถูก เว็บ Blog ส่วนตัว
เป็นข้อที่ต่อมาจากข้อที่แล้วครับ Blog Free อย่าง WordPress , Blogger หรือในไทยอย่าง Bloggang หรือ OKnation เพราะแม้ว่าจะเป็น Blog ที่ใช้ฟรีแต่ในเชิง SEO แล้วเว็บที่ให้บริการเหล่านี้นั้นค่า SEO Perfomance ค่อนข้างสูงเมื่อลิ้งกลับมาที่เว็บไซต์ Brand สินค้านั้น (Backlink)จะช่วยเรื่อง SEO ค่อนข้างดีครับ ส่วนเว็บไซต์ Blog ส่วนตัวนั้นมีข้อดีเรื่องความยืดหนุ่นในการนำเสนอเนื้อหา แม้ว่าเรื่องค่า Moz (SEO Performance Indicator) อาจจะไม่สูงเท่าแต่ได้เรื่องภาพลักษณ์มากกว่า ขอติดเครื่องมือวัดผลเพิ่มเติมได้อีกต่างหาก
มีฐานความรู้เรื่องนั้นดี และ พูดมีน้ำหนักขนาดไหน
จริงอยู่ว่าจะ Blogger มีชื่อเสียงมีคนติดตามอยู่เยอะ ใช่ว่าจะเหมาะกับทุกสินค้า แม่ว่าเค้าจะพูดว่าเป็น Lifestyle Blogger ซึ่งดูกว้างเหมือนจะรับสินค้าได้ทุกประเภท แต่ผู้บริโภค Proconsumer ก็ไม่ใช่ว่าจะเชื่อเหล่าคนดังนั้นไปทั้งหมด การเลือกผู้มีอิทธิพล ที่พูดในเรื่องที่รู้ ได้อย่างมีน้ำหนัก เมื่อพูดในรายละเอียดของสินค้าบริการแล้วจะมีความน่าเชื่อถือนำไปสู่การซื้อสินค้าได้ง่ายกว่า คงไม่มีใครเชื่อ Beauty Blogger คนสวยรีวิว Big Bike หรอกจริงมั้ยถึงแม้จะมีข้อมูลแน่นแค่ไหนก็ตาม
เว็บต้องรองรับ Mobile Friendly
เว็บ Blogger จำเป็นต้องรองรับ Mobile Friendly ด้วยสองเหตุผล คือ ครึ่งหนึ่งของการค้นหาผ่าน Google ของประเทศไทยตอนนี้มากกว่าครึ่งมาจากมือถือ เพราะฉะนั้นเว็บ Blog จำเป็นต้องรองรับการแสดงผลบนมือถือเพื่อช่วยให้ประสบการณ์การอ่านเนื้อหาที่ดี และลำดับในการแสดงผลในการค้นหาอยู่ในอันดับที่สูงกว่า เนื่องจาก Google จะลดอันดับการค้นหาเว็บที่ไม่รองรับ Mobile Friendly เช็กได้ที่เว็บของ Google เลยครับ Mobile-Friendly Test
เสริมภาพลักษณ์ที่ดี สะท้อนแบรนด์
การเลือก Blogger เป็นการบ่งบอก Target กลุ่มเป้าหมายที่ใช้สินค้าทางอ้อม ในเมื่อสินค้ามีการวาง Target Positioning ที่ชัดเจนอยู่แล้ว Blogger เลยจำเป็นต้องสะท้อนภาพของกลุ่มเป้าหมายด้วยแม้ว่าจะไม่ได้เข้มงวดเหมือนกับการเลือก Presenter ให้แบรนด์ก็ต้องระวังนิดนึงครับ หลายครั้งที่เลือกเหล่า Influencer โดยไม่ทราบที่มาที่ไป เลยเจอแบรนด์ที่เลือกให้รีวิวทั้งที่ก่อนหน้านั้นเคยรีวิวแบรนด์คู่แข่ง หรือเคยพูดถึงสินค้าในแง่ลบมาก่อน แม้กระทั่งเรื่องไม่ดีในการวางตัว การทำบางอย่างในอดีต ก็อาจะเป็นปัญหาต่อภาพลักษณ์เช่นกัน
ช้ำ และอวยเกินไป
ระวัง Blogger ที่ถูกใช้จนช้ำ และ Blogger ที่อวยเกินไป ในชีวิตจริงไม่มีสินค้าที่มีดี ครบด้านและไม่มีข้อตำหนิ Blogger ที่ฉลาดจะพูดจะเขียนในน้ำหนักที่เหมาะสมทั้งดีและไม่ดี รักษาความน่าเชื่อถือของตัวเอง ซื่อสัตย์กับผู้ติดตาม อันนี้ต้องอาศัยการดูภาพรวมที่ผ่านมาของ Influencer นั้นๆ แบรนด์และเอเจนซี่จะต้องหาพื้นที่ตรงกลางทำใจที่จะเห็นมุมบกพร่องสินค้าของตัวเองผ่านความคิดเห็นของพวกเขา เพื่อความเป็นธรรมชาติของเนื้อหาและความน่าเชื่อถือของตัว Influencer เอง
จงจำไว้ว่า Blogger Influencer ในเมืองไทยนั้นหาได้ยาก และยังพัฒนาไปได้ไม่ไกลเหมือนกับต่างประเทศอย่างอเมริกา อังกฤษ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ หรือ มาเลเซีย เราเลยมักเห็น Blogger Influencer หน้าเดิมๆ ตัวเลือกใหม่ๆ ไม่มีมากนัก
เพราะพื้นฐานคนไทยที่ไม่ค่อยชอบอ่านอาจจะส่งผลให้คนไทยไม่ค่อยชอบเขียนด้วยรึเปล่าอันนี้ไม่ทราบ เลยมี Blogger ที่น่าสนใจไม่มากนัก แถมคนที่เป็นกลุ่ม Professional ก็ไม่ใช่นักเขียน กลุ่ม Blog เน้นความสนใจเฉพาะทางเท่าก็เลยหายากเหมือน Rare Item
แบรนด์ต้องค่อยเสาะหานักเขียน Blogger หน้าใหม่และสนับสนุนให้เค้าเติบโตไปให้ได้ เอเจนซี่ก็เช่นกัน จำไว้ว่า ไม่ว่าค่าว่าจ้างในการเขียนถึงสินค้า พูดถึงสินค้าในแต่ละคนจะถูกหรือแพง ถ้าถูกก็ต้องสะท้อนแบรนด์ ถ้าแพงต้องได้ Exposure (ความสามารถในการเข้าถึงคนหมู่มาก) เยอะแพงและดีมีตัวเลือกน้อย เจอแล้วใช้เขาให้เป็นลองเอามุมที่ผมลิสในไปลองเป็นอีกมุมในการเลือกผู้ทรงอิทธิพลให้เหมาะและดีกับกลุ่มเป้าหมาย และแบรนด์ไปพร้อมกัน
