Niwat Chatawittayakul คอลัมนิส และนักธุรกิจ ปัจจุบันทำธุรกิจด้านวางแผนกลยุทธ์การตลาดและโฆษณาดิจิทัล อีกฝั่งสวมหมวกบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีโดย มุ่งความสนใจไปที่ BigData Blockchain และ Digital Transformation

คลายความงง “EDGE” กับ “EDGE+” “ 3G” กับ “3G+” คืออะไร ใช้อะไรดี

9 sec read

ผมว่าในปัจจุบันนี้ ยังมีผู้ใช้มือถือที่เรียกกันว่า SmartPhone จำนวนไม่น้อย ที่อาจจะไม่เคยแม้แต่สังเกต เห็นสัญลักษณ์หรือไอคอนเล็กๆ ที่มันขึ้นอยู่บนหน้าจอสมาร์ทโฟนของตัวเอง บางคนเห็น แต่ก็ไม่ทราบว่ามันหมายถึงอะไร คนทั่วไปโดยปกติ จะใช้บริการเรื่องเสียงเป็นหลัก คือมีไว้เพื่อโทรเข้าโทรออก แต่อย่างว่าล่ะครับ ในยุคนี้มือถือมันฉลาดเอามากๆ มันเป็นมากกว่ามือถือ สามารถทำอะไรได้หลากหลายกว่าที่เคยเป็นมาก่อน และด้วยความฉลาดของเจ้าเครื่องสมาร์ทโฟนนี่เอง ทำให้การเชื่อมต่อที่เป็นดาต้า (ข้อมูล) นั้นพุ่งสูงขึ้นอย่างมากครับ ดาต้าที่ว่า คือการรับส่งไปมาระหว่างกันกับเพื่อนฝูง มีทั้งข้อความภาพ เสียง ไฟล์ภาพ ดาวน์โหลดแอพ ดูทีวีผ่านมือถือ พูดง่ายๆ ว่าทุกวันนี้ มีปริมาณการใช้งานในการรับส่งดาต้า เพิ่มขึ้นสูงมากขึ้นอย่างรวดเร็วมากจริงๆ

ทีนี้เมื่อเราใช้ดาต้าเยอะ ผู้ให้บริการก็ต้องเตรียมพร้อมเครือข่าย ให้สามารถส่งดาต้าเหล่านี้ได้เร็วทันใจ ด้วยการเตรียมท่อให้กว้างขึ้นพอที่จะส่งอะไรได้เยอะๆ เมื่อผู้ใช้เรียกดาต้าพร้อมๆ กัน ท่อก็เลยสำคัญครับ แต่ส่วนหนึ่งคือความเร็วในการจัดส่งผ่านท่อนี่แหละ ได้กลายเป็นเรื่องที่คนใช้งานอย่างเราๆ น่าจะรู้ไว้บ้างว่ามันต่างกันยังไง เพื่อเราจะได้ใช้งานมันอย่างสะดวก สบายขึ้น หรือเข้าเน็ตอย่างเต็มประสิทธิภาพ

สัญญาณที่เราคุ้นเคยยุคก่อน 3G คือ EDGE เป็นเทคโนโลยีการส่งดาต้าผ่านคลื่นความถี่ของมือถือ ซึ่ง EDGE นั้นความเร็วค่อนข้างต่ำครับ มีความเร็วที่อยู่ที่ 70-180 Kbps แต่เร็วกว่า GPRS เหมาะกับยุคจอขาวดำมากๆ แต่ในพื้นที่ค่อนข้างอับไม่มีสัญญาณ EDGE และ GPRS จะเป็นระบบที่เราสามารถใช้ได้

ดังนั้น เวลาที่เราไปในเขตที่ไม่มีสัญญาณ 3G มือถือเราก็จะเข้า EDGE หรือ GPRS ทันที GPRS จะช้าสุดจากทั้งหมดนะครับ ส่วน EDGE+ คืออินเทอร์เน็ตความเร็ว 384 kbps. มี AIS ที่ให้บริการอยู่ จะเร็วกว่า EDGE

มาถึง 3G กับ 3G+ เห็นคนสงสัยกันมากครับ เพราะโดยส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยได้ใช้ 3G กันเท่าไหร่นัก 3G ถือว่าเป็นยุคที่ 3 หรือ Third Generation เป็นยุคเทคโนโลยีส่งความเร็วที่สูงขึ้น ทำให้เราเล่นเน็ตบนมือถือด้วยความเร็วสูงสุดที่ 7.2 Mbps ครับ ซึ่งทรูมูฟ 3G เปิดให้ลูกค้าได้ทดลองใช้มานานเป็นปีแล้วครับ

ส่วนล่าสุดมีการพูดถึง “ 3G+” ของทรูมูฟ เอช นั้น ต้องบอกว่าเป็นคนละเครือข่ายกับทรูมูฟ 3G แต่ต้องถือว่าเป็นเวอร์ชั่นอัพเกรดกว่า โดย 3G+ ใช้เทคโนโลยี HSPA+ ทำให้การส่งข้อมูลเร็วขึ้นสูงสุดที่ 42 Mbps. เลยทีเดียว นอกจากนี้ มีหลายๆ คนเข้าใจว่า การเข้าไปเทคโอเวอร์ ฮัทช์ ของทรูมูฟ เอช คือไปใช้เทคโนโลยีของฮัทช์ ซึ่งขอย้ำว่า ฮัทช์เป็นเทคโนโลยี CDMA ส่วน ทรูมูฟ 3G+ เป็น HSPA+ ต้องถือว่า เป็นคนละเทคโนโลยีกันเลยนะครับ

blank

สำหรับประสบการณ์การใช้งาน 3G+ ผมลองใช้อยู่ที่วัดแถวซอยอารีย์ สะพานควาย ซึ่งโอเคมาก ได้ความเร็วอยู่ราวๆ 5-8 Mbps ใช้แทนอินเทอร์เน็ตที่คอนโดได้เลย เพราะเร็วกว่ามาก

อย่างไรก็ตาม ต้องเข้าใจว่า การปล่อยสัญญาณ 3G ของทุกเครือข่าย เป็นการแชร์สปีด ดังนั้น เป็นไปได้ยากที่จะเล่นได้เร็วสูงสุดตามที่เขาโฆษณา แต่ก็เป็นเรื่องปกติที่โอเปอร์เรเตอร์ทั่วโลกก็ใช้หลักการแชร์สปีดเหมือนกัน โดยเฉลี่ย ถ้าใช้ได้ประมาณ 1 Mbps ผมว่าก็โอเคแล้วครับ สำหรับการใช้งานบนมือถือ
ผมจะสรุปเรื่องความเร็วเริ่มจากเร็วน้อยไปเร็วมาก คือ GPRS EDGE EDGE+ 3G 3G+ ตอนนี้ ผมว่า ทรูมูฟ เอช น่าลองครับ และถ้าเขามีเครือข่ายครอบคลุมมากที่สุด และมี Wi-Fi ให้ใช้ได้ถึง 100,000 จุด ผมว่า โดนมากๆ ครับ

ปล. ความเร็วของการเล่น 3G และ Wi-Fi ขึ้นอยู่กับความสามารถของอุปกรณ์ที่ใช้ จำนวนคนใช้ และระยะทางระหว่างอุปกรณ์กับจุดรับส่งด้วยนะครับ ขอไปหารายละเอียดเพิ่มแล้วจะเล่าให้ฟ้งอีกที