Niwat Chatawittayakul คอลัมนิส และนักธุรกิจ ปัจจุบันทำธุรกิจด้านวางแผนกลยุทธ์การตลาดและโฆษณาดิจิทัล อีกฝั่งสวมหมวกบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีโดย มุ่งความสนใจไปที่ BigData Blockchain และ Digital Transformation

ดูมาแล้ว : The Beaver เมื่อใครๆ ก็โกหก แล้วชีวิตจะทำยังไง

4 sec read

อยากไปดูหนังเรื่องนี้ด้วยเหตุผล 2 อย่างคือ 1 ช่วงนี้หนังดราม่าฟอร์มยักษ์ไม่ค่อยมีให้เสพย์มากนักในฮอลลีวูดสองอยากดูการแสดงอีกครั้งของ Mel Gibson เลยเลือกที่จะไปดูหนังเรื่องนี้แทนที่จะไปดู Super 8 ที่เข้าโรงมาพร้อมๆ กัน (บทความนี้สปอยล์น้อยมากครับ อ่านได้อย่างสบายใจ)

The Beaver เป็นหนังที่ถูกจับตามองจากนักวิจารย์ด้วยหลายสาเหตุ โดยเฉพาะคนในวงการหนังที่จับตาการกลับมาของดาราเคยรุ่งอย่าง เมล กิ๊บสัน ที่กลับมารับบทการแสดงอีกครั้ง จากการช่วยเหลือของผู้กำกับและนักแสดงเพื่อนรักอย่าง ฟอสเตอร์ ที่ตัวเองก็ร่วมเล่นเรื่องนี้ด้วยเช่นกันครับ เป็นที่ทราบกันว่าบรรดาคนในวงการโดยส่วนใหญ่พักหลังนี้ไม่ค่อยจะมีใครรัก เมล กิ๊บสัน ซักเท่าไหร่นัก อาจจะมาจากการทำตัวของเขาเอง แม้กระทั่งเมียที่แสนเลิฟก็ยังต้องเลิกรากันไป นี่เองเป็นเหมือนความเหมาะสมของบท วอลเตอร์ แบล็ค หนุ่มที่กำลังเผชิญวิกฤตวัยกลางคน ที่เหมือนสวมกันลงตัวกับชีวิตของนักแสดงตอนนี้เลยทีเดียว

blank

เรื่องตลก ในวันที่ไปดูหนังเรื่องนี้ คือ หนังเรื่องนี้ถูกฉายไม่กี่โรงในกรุงเทพ และก็เข้ามาในโปรโมชั่นใหม่ของเครือเมเจอร์ที่มี Silver Movie เป็นการนำหนังคุณภาพดีดีที่อาจจะไม่ใช่ในฟอร์มใหญ่มาฉาย เพื่อให้คนที่รักหนังจริงๆ ได้ดู ผมไปดูเรื่องนี้ที่เอสพลานาด รอบ ห้าทุ่ม วันศุกร์ ตลกคือทั้งโรงมีผมอยู่คนเดียว ความรู้สึกแรกคือกลัวผีครับ ถ้ามีใครมานั่งข้างๆ คงวิ่งหนีแบบไม่เสียดายค่าตั๋ว แต่ก็ดีตรงที่ว่าแม้ว่าทั้งโรงจะมีคนซื้อตั๋วอยู่คนเดียวก็ยังมีการฉายหนังและเปิดแอร์เป็นปกติ ผิดกับที่อื่นที่อาจเลือกที่จะไม่เปิดแอร์

มาเข้าเรื่องหนังกันดีกว่าครับ หนังเรื่องนี้ถ้าในแง่ของบทหนังแล้วถือว่าเป็นหนังที่มีบทดีตามที่นักวิจารณ์ได้ให้คะแนนไว้เพราะหนังก็มีแง่คิดและการนำเสนอเรื่องจริง สะท้อนสังคมแบบไม่ได้แรงแต่ก็ทำให้ฉุกคิดได้ หนังเล่าเรื่องวิกฤตวัยกลางคนของ วอลเตอร์ แบล็ค เจ้าของบริษัทของเล่นที่ต้องเผชิญกับวิกฤตของวัยกลางคน ซึมเศร้าเบื่อหน่าย จากหน้าที่การงานที่กำลังหล่นวูบ หน้าที่หัวหน้าครอบครัวที่ไม่มีใครยอมรับจนบ้านแตก จุดเปลี่ยนของเรื่องคือเมื่อ วอลเตอร์ แบล็ค ได้พบหุ่นมือเจ้าบีเวอร์ที่เก็บจากถึงขยะกลับมาช่วยสร้างชีวิตของเขาให้กลับมารุ่งเรื่องอีกครั้ง แต่ก็การมีเจ้าบีเวอร์เข้ามา ก็ไม่ได้ราบรื่นนัก

blank

ประเด็นของหนังกำลังนำเสนออีกด้านของคนที่กำลังพบวิกฤติและกำลังอยากจะหาทางออกให้กับชีวิต และการหาทางออกด้วยการลืมอดีตแล้วหาทางแก้ไข ก็เป็นอีกทางนึงที่หนังเรื่องนี้เล่าให้ฟัง “ถ้าเราจมอยู่กับอดีตที่ไม่สามารถแก้ไขได้ อนาคตข้างหน้าก็เลือนลางมองไม่เห็น” แง่คิดสำคัญที่ได้จากหนังเรื่องนี้คือ จริงเรากำลังมองข้ามคนที่สำคัญของเราไป คนที่พร้อมจะคอยช่วยเหลือแม้ยามที่ไม่มีใครยื่นมีเข้ามา คนที่ให้กำลังใจแม้ยามที่อยู่ในสภาวะแห้งแล้วจากแรงบันดาลใจ การคอยช่วยเหลือกันของคนในครอบครัวย่อมดีกว่าการคิดด้วยตัวคนเดียว ช่วยกันแก้ไขปัญหาดีกว่า มุมนึงของหนังพูดเรื่องการโกหก บอกว่าทุกๆคนโกหก แม้แต่พ่อและแม่ที่บอกว่าทุกอย่างมันจะดีเอง แต่ในชีวิตจริงมันก็ไม่ได้ดี หรือหนังสือ how to ที่บอกว่าคุณจะดีขึ้นก็ไม่ได้ช่วยอะไร ช่างเป็นอะไรที่โดนใจและจี้ดจริงๆ

หนังเรื่องนี้สำหรับผมแล้วถือเป็นหนังที่ให้แง่คิดที่ดี แต่สำหรับผมแล้วยังไม่ลึกซึ้งหรือได้ Impact เท่าหนังดราม่าอื่นๆ ให้รู้สึกขนลุกตอนดูจบอย่าง The Gratest Game Never Play , Blideside หรือ The Persuit of Happyness ยังไม่ถึงขึ้นแต่ก็ไม่ได้แย่ขนาดที่ไม่ได้อะไรเลย ถือเป็นหนังดราม่าอีกเรื่องที่น่าดูในช่วงที่ดราม่ากำลังขากแคลนมีแต่หนังถล่มโลกและ Super Hero และตลก

น่ารู้ของหนังเรื่องนี้
– บทภาพยนตร์ของ หนังเรื่องนี้เคยถูกรับเลือกว่าเป็นบทหนังยอดเยี่ยมที่ยังไม่ถูกสร้างในปี 2008 จากฮอลลีวูด และท้ายที่สุดมันก็ได้ถูกสร้างโดย โจดี้ ฟอสเตอร์