Niwat Chatawittayakul คอลัมนิส และนักธุรกิจ ปัจจุบันทำธุรกิจด้านวางแผนกลยุทธ์การตลาดและโฆษณาดิจิทัล อีกฝั่งสวมหมวกบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีโดย มุ่งความสนใจไปที่ BigData Blockchain และ Digital Transformation

แนะนำวิธีเลือกใช้ Social Media ให้เหมาะกับกลยุทธ์การตลาด พ.ศ.นี้

33 sec read

นับวันเครื่องมือ Social Media มีใช้งานมากมายหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Social Media เฉพาะทาง หรือ Social Media ที่อยู่ในกระแสหลักต่างก็มีเรื่องปวดหัวมาให้ทั้งผู้ใช้ และก็นักการตลาดต้องติดตามทำความเข้าใจและ คอยอัพเดท การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่างๆ เพื่อให้เท่าทันจะได้ทำการตลาดผ่านช่องทาง Social Media ให้มีประสิทธิภาพ เพราะในเชิงลึกในแต่ละ Social Media ในปจจุบันมีมีรายละเอียดเชิงลึกในการทำงาน และใช้งานแตกต่างกันไป

กลยุทธ์ทางการตลาดของการทำการตลาดผ่าน Social Media ในแต่ละอุตสาหกรรม และแบรนด์ ก็มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่ากัน แน่นอนว่าวัถุประสงค์จะถูกนำมาออกแบบให้เป็นวิธี Approach ในการนำเสนอรูปแบบให้แตกต่างกัน ซึ่งคุณภาพจึงขึ้นอยู่กับไอเดีย รูปแบบ การใช้งานจริงๆ รวมถึงงบประมาณในการประชาสัมพันธ์ ซึ่งมีหลายปัจจัย แต่ถ้ามองในมุนเชิงเทคนิค ก็จะมีอีกมุมนึงที่จะบอกว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนี้เครื่องมือ Social Media เหมาะกับโจทย์ในการทำการตลาดออนไลน์แบบไหนบ้างเรามาลองดูในมุมเทคนิคกันครับ

Hand holding a Social Media 3d Sphere

ผมชอบ Info-graphic ตัวนี้เพราะค่อนข้างสรุปได้ดีและเห็นการเปรียบเทียบที่ชัดเจน โดยแยกข้อดีของแต่ละ Social Media ช่องทางต่างในความประสิทธิภาพในการตอบโจทย์การตลาดดิจิทัล 4 มุมก็คือ
– ประสิทธิภาพในเรื่อง SEO (Search Engine Optimisation) ความสามารถในการแสดงเนื้อจาก Social Media ไปยัง Search Engine ต่างๆ เช่น Google
– Brand Awareness ประสิทธิภาพในการสร้างการรับรู้แบรนด์สินค้า
– Customer Communication ประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า
– Traffic Generation ประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดการเข้าชม หรือ Lead, Generation

ใน 4 มุมเป็นการใช้ประโยชน์จาก Social Media เพื่อตอบโจทย์การทำการตลาดใน 4 ความสามารถหลักมาดูกันครับว่าใครดีกว่าใครแนะนำตัวไหนยังไงบ้าง

SEO (Search Engine Optimisation)

Social Media มีผลต่อการทำ SEO ในยุคใหม่อย่างมากไม่เพียงแต่คะแนนด้านเว็บ การทำให้เป็นมิตรกับ Google และให้ถูกหลักการทำเว็บที่ดีแล้ว ปัจจุบันนี้อัลกอริทึ่มในการจัดลำดับการค้นหาจะมีเรื่องของ Social Media เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยครับ Google จะทำการให้น้ำหนักเนื้อหาที่มีการไลค์แชร์สูงๆ บน Social Media มากกว่าเนื้อหาที่ไม่มีการ Interaction บน Social Media เลย ซึ่งในสำคัญมากในการจัดลำดับความสำคัญยุคนี้ครับ
Social Media ที่ช่วยเอื้อในการจัดลำดับ Google แน่นอนว่ารายใหญ่จะมีผลมากและให้ผลดี
Twitter : ช่วยเรื่องน้ำหนักผลการค้นหาที่สูงขึ้นได้ จากการถูก Retweet บ่อยๆ (Higher Search Ranking)
Facebook : ช่วยเรื่องน้ำหนักผลการค้นหาที่สูงขึ้นได้ถ้ามี การไลค์แชร์ Comment เว็บไซต์นั้นหรือเนื้อหาในหน้าเว็บนั้นสูงๆ (Higher Search Ranking)
Google+ : ช่วยเรื่องน้ำหนักผลการค้นหาที่สูงขึ้นได้ โดยเฉพาะเพื่อนมีสิทธิ์จะเห็นเนื้อหานั้นในผลเสิร์ชเป็นอันดับต้นๆ โดย Google ก็แอบให้คุณค่าเนื้อหาที่ถูกกด +1 มากกว่า Facebook Twitter ซะอีก
Pinterest : ช่วยเรื่องน้ำหนักผลการค้นหาที่สูงขึ้นได้ ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาโดยเนื้อหาที่โดดเด่นและ Popular บน Pinterest ก็ช่วยมีผลด้านอันดับเช่นกัน

Social Media ไม่แนะนำ : Instagram เพราะผู้ใช้ที่ส่วนใหญ่ใช้งานผ่าน Application และบนมือถือครับ อีกทั้งเว็บไซต์ Instagram ค่อนข้างมีลิมิตในการเข้าถึงค่อนข้างมาก แต่คาดว่าในอนาคตน่าจะมีผลช่วยด้าน SEO ที่ดีขึ้นแน่นอน
———————————————-

Brand Awareness

ด้านการสร้างการรับรู้แบรนด์สินค้าทุกช่องทางช่วยในการสร้างการรับรู้ได้หมดครับ เพราะขึ้นชื่อว่าสื่อสังคมออนไลน์ จะช่วยกระจายให้คนภายในสื่อโซเชี่ยลนั้นเห็นได้แน่ มากน้อยตามแต่ลักษณะเนื้อหาและช่องทางนั้นๆ ครับ ซึ่งต้องบอกว่ายิ่งทำทุก Social Media ยิ่งสร้าง Awareness ได้แต่ต้องทำอย่างต่อเนื่องและปรับเนื้อหาให้เข้ากับรูปแบบที่แตกต่างกันครับแนะนำตามนี้นะครับ การสร้างการรับรู้ให้ได้ประสิทธฺภาพก็ต้องเน้นช่องทางที่มีโอกาสสร้าง Exposure ได้กว้างๆ ซึ่ง Facebook Twitter เป็นทางเลือกหลัก
Twitter : สร้างการรับรู้ผ่านตัวอักษรแต่อาจจะต้องเป็นกระแสมากพอที่จะอยู่ในกระแสการพูดถึงในวงกว้าง ต้องรวดเร็วและสดใหม่
Facebook : การสร้างการรับรู้บนช่องทาง Facebook ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในบรรดา Social Media ทั้งหมดเพราะเป็ฯที่ที่มีฐานผู้ใช้สูงสุดและจำนวนผู้ใช้ต่อเดือนสูงสุด แต่เมื่อทุกแบรนด์ต่างเข้ามาร่วมสร้างการสื่อสารพร้อมๆ กันปัญหาเรื่องการเข้าถึง Reach กลายเป็นปัญหาใหม่ที่นักการตลาดต้องให้ความสำคัญ เพราะเมื่อการโพสเนื้อหามีคนเห็นน้อยลงนั่นหมายถึงประสิทธิภาพในการรับรู้ผ่านเครื่องมือนี้ก็ลดลงไปด้วย
Linkedin : สำหรับบุคคล หรือองค์กร Linkedin ถือเป็นเครื่องมือที่ดีอันหนึ่งในการสร้างการรับรู้ในระดับองค์กร หรือสามารถนำมาใช้ในการทำ Personal Branding ได้เช่นกัน
Google PLus : แม้จะมีฐานผู้ใช้จำนวนมากแต่จำนวนผู้ใช้รายเดือนน้อย (Monthly Active Users) แต่ช่องทางนี้ก็ยังสามารถสร้างการรับรู้ได้เช่นกันครับ
Pinterest : ถ้าสินค้าของคุณเป็นสินค้าที่เน้นเรื่องการออกแบบหรือเป็ฯสินค้าเชิง Lifestyle ช่องทาง PInterest เป็นช่องทางที่ช่วยในการสร้างการรับรู้ในเชิงภาพได้ดี แต่การจะทำให้มีประสิทธิภาพนั้นภาพที่ใช้จะต้องมีคุณภาพค่อนข้างมาก เพราะ PInterest นั้นภาพยิ่งสวยยิ่งได้รับความสนใจครับ
Instagram : IG จะคล้ายคลึงกับ Pinterest ในแง่ของการใช้ภาพสวยๆ เป็นตัวช่วยสร้างการรับรู้
———————————————-

Customer Communication ประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้า

ด้านการใช้ Social Media เพื่อสื่อสารกับลูกค้า ตัวไหนที่ใช้จะงานในการสื่อสารได้ดี ต้องบอกว่าก็ต้องเป็น Social Media ที่มี Active Users สูงๆ และต้องเป็น Social Media ที่ค่อนข้างเรียบไทม์โอกาสที่จะมีการสอบถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการเลยมีโอกาสสูงไปด้วยครับ ในการสื่อสารเลยต้องดูช่องทางและความพร้อมของทีมงานเป็นหลักด้วยครับ หากไม่มีการตอบคำถามลูกค้าในเวลาที่เหมาะสมก็อาจจะกลายเป็นวิกฤตของแบรนด์สินค้าก็เป็นได้ครับ แนะนำตามลำดับนะครับ

Twitter / Facebook : จำเป็นต้องใช้มากครับๆ ยิ่งในกลุ่มสินค้าบริการ เพราะทวิตเตอร์ถือเป็นโซเชี่ยลทีเดียอันดับต้นๆ (Top of Mind) ที่ผู้ใช้ที่ติดโซเชี่ยลมีเดียใช้กัน (Social Savvy Consumers) และความเร็ว เรียลไทม์ ก็ทำให้เป็นที่สำคัญทำให้ไม่ว่าจะเป็นคำชม คำต่อว่า ตำหนิ มีผลได้อย่างรวดเร็ว เป็นช่องทางที่จำเป็นมากหาแบรนด์ต้องการสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางนี้ สามารถโต้ตอบแบบบุคคล ต่อบุคคลได้ทันทีและรวดเร็ว
Linkedin / Youtube / Instagram ถ้ามีแล้วก็จำเป็นต้องสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งการเข้าไปดู Comment และคอยตอบผ่าน Comment สามารถทำได้และจำเป็น
———————————————-

Traffic Generation ประสิทธิภาพในการเพิ่มยอดการเข้าชม

หากต้องการใช้ Social Media เพื่อสร้างการเข้าชมไปยังเว็บไซต์หรือลิ้งไป Landing Page ต่างๆ ช่องทางที่แนะนำในต้องเป็ฯช่องทางที่มีคน Active Users จำนวนมากๆ อย่าง Facebook + Twitter แต่ถ้าถามว่าช่องทางไหนใช้ได้ดีกว่ากันต้องบอกว่า twitter สามารถสร้างผลการคลิก Traffic Generation ได้ดีกว่า Facebook ส่วนช่องทางใหม่ๆ ที่น่าสนใจคือ PInterest สามารถทราฟฟิกได้มากเช่นกันแต่จะเหมาะเฉพาะบางกลุ่มสินค้าครับ

CMO Guide To The Social Landscape